ตามหลักคำสอนแล้ว เมืองไหนที่มีคนถือพุทธมากที่สุด จะไม่ค่อยมีความวุ่นวายเดือดร้อน เท่าไหร่นัก
แต่ทำไมประเทศไทยถึงมีความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ไม่สมกับเป็นเมืองพุทธเลย
ขอแก้ไขเพิ่มเติม คำถามคงไม่ละเอียดเท่าไหร่ หลายท่านตอบเน้นด้านการเมืองอย่างเดียว
ความเดือนร้อนวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นในไทย
ดูตามข่าว
1. มี โจร ขโมย มีการฆ่ากันตาย บ่อยมาก ฆ่าตัวตายก็มี
2. เดี๋ยวก็น้ำท่วม ทั้งๆที่บางพื้นที่ไม่เคยท่วม
3. เหตุการณ์ไฟไหม้
4. การเมือง
และก็อื่นๆอีก
ผู้สอน สอนไม่ถูกต้องหรือเปล่า?
ชาวพุทธปฏิบัติตามคำสอน ผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า?
ขอเพิ่มเติมอีก
คำของพระพุทธเจ้าเป็นจริงใช่ไหม?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าเปลือกไม้
แม้ใหม่ก็สีทราม สัมผัสหยาบ และราคาถูก
แม้กลางใหม่กลางเก่าก็สีทราม สัมผัสหยาบ และราคาถูก
แม้เก่าแล้วก็สีทราม สัมผัสหยาบ และราคาถูก
ผ้าเปลือกไม้ที่คร่ำคร่าแล้วเขาก็ทำเป็นผ้าเช็ดหม้อข้าวบ้าง ทิ้งเสียที่กองขยะบ้างฉันใด
ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนวกะก็ดี ภิกษุมัชฌิมะก็ดี ภิกษุเถระก็ดี
**ถ้าเป็นผู้ทุศีลมีธรรมอันเลว เรากล่าวความทุศีลมีธรรมเลวนี้ในความมีสีทรามของภิกษุ
กล่าวบุคคลนี้ว่าเหมือนผ้าเปลือกไม้มีสีทรามฉะนั้น**
*อนึ่ง ชนเหล่าใดคบหาสมาคม ทำตามเยี่ยงอย่างภิกษุนั้น
ข้อนั้นย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งอันไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่ชนเหล่านั้น ตลอดกาลนาน
เรากล่าวการคบหาสมาคมทำตามเยี่ยงอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งอันไม่เกื้อกูลเกิดทุกข์นี้
ในความมีสัมผัสหยาบของภิกษุ กล่าวบุคคลนี้ว่า ดุจผ้าเปลือกไม้มีสัมผัสหยาบ ฉะนั้น*
ผ้าเปลือกปอ
ภิกษุ ท.! ผ้าทอด้วยเปลือกปอ ถึงจะยังใหม่อยู่ สีก็ไม่งาม นุ่งห่ม
เข้าก็เจ็บเนื้อ ราคาก็ถูก, แม้จะกลางใหม่กลางเก่าแล้ว สีก็ยังไม่งาม
นุ่งห่มเข้าก็ยังเจ็บเนื้อ ราคาก็ถูกมาก, แม้จะเก่าคร่ำแล้ว สีก็ยังไม่งาม
นุ่งห่มเข้าก็ยังเจ็บเนื้อ ราคาก็ถูกมากอยู่นั่นเอง. ผ้าเปลือกปอ ที่เก่าคร่ำแล้ว
มีแต่จะถูกใช้เช็ดหม้อข้าว หรือทิ้งอยู่ตามกองขยะมูลฝอย นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ที่ทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน :
แม้เพิ่งบวชใหม่ เราก็กล่าวว่า มีผิวพรรณไม่งาม เหมือนผ้าเปลือกปอ
ที่แม้ยังใหม่อยู่ก็ดูสีไม่งาม ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนี้ ว่า มีผ้าเปลือกปอ
เป็นคู่เปรียบ.*** อนึ่ง ชนเหล่าใด คบหา สมาคม เข้าใกล้ ทำตามเยี่ยงอย่าง
ของภิกษุนั้น ข้อนั้น จะเป็นทางให้เกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์
แก่ชนเหล่านั้นเอง ตลอดกาลนาน***; เราจึงกล่าวภิกษุนั้นว่า ใครใกล้ชิดเข้า
ก็เจ็บเนื้อ เหมือนผ้าเปลือกปอ นุ่งห่มเข้าก็เจ็บเนื้อ ฉะนั้น. เรากล่าว
ภิกษุนี้ ว่ามีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ภิกษุนั้น รับจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริกขาร ของชนเหล่าใด ทานนั้นย่อมไม่มี
ผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่แก่ชนเหล่านั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า มีค่าน้อย
เหมือนผ้าเปลือกปอ มีราคาถูก ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า มีผ้าเปลือกปอ
เป็นคู่เปรียบ
ภิกษุ ท.! แม้ภิกษุ ผู้อายุปูนกลาง เมื่อเป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่
เลวทราม ก็เป็นอย่างเดียวกัน, เรากล่าวว่า มีผิวพรรณไม่งาม เหมือนผ้า
เปลือกปอ ที่แม้ยังใหม่อยู่ก็ดูสีไม่งาม ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนี้ว่า มีผ้า
เปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ชนเหล่าใด คบหา สมาคม เข้าใกล้
ทำตามเยี่ยงอย่างของภิกษุนั้น ข้อนั้น จะเป็นทางให้เกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์
เป็นทุกข์แก่ชนเหล่านั้นเอง ตลอดกาลนาน; เราจึงกล่าวภิกษุนั้นว่า ใคร
ใกล้ชิดเข้าก็เจ็บเนื้อ เหมือนผ้าเปลือกปอ นุ่งห่มเข้าก็เจ็บเนื้อ ฉะนั้น.
เรากล่าวภิกษุนี้ ว่ามีผ้าเปลือกปอเป็นคู้เปรียบ. อนึ่ง ภิกษุนั้น รับจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริกขาร ของชนเหล่าใด ทานนั้น
ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่แก่ชนเหล่านั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีค่าน้อย เหมือนผ้าเปลือกปอ มีราคาถูก ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ.
ภิกษุ ท.! แม้ภิกษุ ผู้เป็นเถระ เมื่อเป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่
เลวทราม ก็เป็นอย่างเดียวกัน, เรากล่าวว่า มีผิวพรรณไม่งาม เหมือนผ้า
เปลือกปอ ที่แม้ยังใหม่อยู่ก็ดูสีไม่งาม ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า มีผ้า
เปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ชนเหล่าใด คบหา สมาคม เข้าใกล้ทำตาม
เยี่ยงอย่างของภิกษุนั้น ข้อนั้น จะเป็นทางให้เกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์
เป็นทุกข์แก่ชนเหล่านั้นเอง ตลอดกาลนาน; เราจึงกล่าวภิกษุนั้นว่า ใคร
ใกล้ชิดเข้าก็เจ็บเนื้อ เหมือนผ้าเปลือกปอ นุ่งห่มเข้าก็เจ็บเนื้อ ฉะนั้น.
เรากล่าวภิกษุนี้ว่า มีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ภิกษุนั้น รับจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริกขาร ของชนเหล่าใด ทานนั้น
ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่แก่ชนเหล่านั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีค่าน้อย เหมือนผ้าเปลือกปอ มีราคาถูก ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ.
อนึ่ง ภิกษุเถระชนิดนี้ กล่าวอะไรขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย
ก็จะว่าให้ว่า “ประโยชน์อะไร”ด้วยคำพูดของท่าน ซึ่งเป็นคนพาล คนเขลา,
คนอย่างท่านหรือจะรู้จักสิ่งที่ควรพูด” ดังนี้. ภิกษุเถระนั้น ถูกเขาว่าให้
ก็โกรธ แค้นใจ กล่าววาจาหยาบออกมา โดยอาการที่ทำให้ตนต้องถูกสงฆ์
ลงอุกเขปนียกรรมในภายหลัง จึงเป็นเหมือนผ้าเปลือกปอเก่าคร่ำ ที่เขาทิ้งเสีย
ตามกองขยะมูลฝอย ฉะนั้น แล.
/////////////////////////////////////////////////////////////
ปัจจุบันมีพระละเมิดพระธรรมวินัยเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้แก้ไข แถมยังทำผิดอยู่เป็นประจำ มีข้ออ้างต่างๆนาๆ ตามยุคตามสมัยบ้าง
ความเดือดร้อนวุ่นวาย ส่วนหนึ่ง เกิดจากนี่หรือเปล่า?
ใครมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ว่ามา.....
ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ที่มีประชากรในประเทศถือศาสนาพุทธมากที่สุด แต่ทำไมบ้านเมืองยังวุ่นวายล่ะ
แต่ทำไมประเทศไทยถึงมีความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ไม่สมกับเป็นเมืองพุทธเลย
ขอแก้ไขเพิ่มเติม คำถามคงไม่ละเอียดเท่าไหร่ หลายท่านตอบเน้นด้านการเมืองอย่างเดียว
ความเดือนร้อนวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นในไทย
ดูตามข่าว
1. มี โจร ขโมย มีการฆ่ากันตาย บ่อยมาก ฆ่าตัวตายก็มี
2. เดี๋ยวก็น้ำท่วม ทั้งๆที่บางพื้นที่ไม่เคยท่วม
3. เหตุการณ์ไฟไหม้
4. การเมือง
และก็อื่นๆอีก
ผู้สอน สอนไม่ถูกต้องหรือเปล่า?
ชาวพุทธปฏิบัติตามคำสอน ผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า?
ขอเพิ่มเติมอีก
คำของพระพุทธเจ้าเป็นจริงใช่ไหม?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าเปลือกไม้
แม้ใหม่ก็สีทราม สัมผัสหยาบ และราคาถูก
แม้กลางใหม่กลางเก่าก็สีทราม สัมผัสหยาบ และราคาถูก
แม้เก่าแล้วก็สีทราม สัมผัสหยาบ และราคาถูก
ผ้าเปลือกไม้ที่คร่ำคร่าแล้วเขาก็ทำเป็นผ้าเช็ดหม้อข้าวบ้าง ทิ้งเสียที่กองขยะบ้างฉันใด
ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนวกะก็ดี ภิกษุมัชฌิมะก็ดี ภิกษุเถระก็ดี
**ถ้าเป็นผู้ทุศีลมีธรรมอันเลว เรากล่าวความทุศีลมีธรรมเลวนี้ในความมีสีทรามของภิกษุ
กล่าวบุคคลนี้ว่าเหมือนผ้าเปลือกไม้มีสีทรามฉะนั้น**
*อนึ่ง ชนเหล่าใดคบหาสมาคม ทำตามเยี่ยงอย่างภิกษุนั้น
ข้อนั้นย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งอันไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่ชนเหล่านั้น ตลอดกาลนาน
เรากล่าวการคบหาสมาคมทำตามเยี่ยงอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งอันไม่เกื้อกูลเกิดทุกข์นี้
ในความมีสัมผัสหยาบของภิกษุ กล่าวบุคคลนี้ว่า ดุจผ้าเปลือกไม้มีสัมผัสหยาบ ฉะนั้น*
ผ้าเปลือกปอ
ภิกษุ ท.! ผ้าทอด้วยเปลือกปอ ถึงจะยังใหม่อยู่ สีก็ไม่งาม นุ่งห่ม
เข้าก็เจ็บเนื้อ ราคาก็ถูก, แม้จะกลางใหม่กลางเก่าแล้ว สีก็ยังไม่งาม
นุ่งห่มเข้าก็ยังเจ็บเนื้อ ราคาก็ถูกมาก, แม้จะเก่าคร่ำแล้ว สีก็ยังไม่งาม
นุ่งห่มเข้าก็ยังเจ็บเนื้อ ราคาก็ถูกมากอยู่นั่นเอง. ผ้าเปลือกปอ ที่เก่าคร่ำแล้ว
มีแต่จะถูกใช้เช็ดหม้อข้าว หรือทิ้งอยู่ตามกองขยะมูลฝอย นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! ภิกษุ ที่ทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน :
แม้เพิ่งบวชใหม่ เราก็กล่าวว่า มีผิวพรรณไม่งาม เหมือนผ้าเปลือกปอ
ที่แม้ยังใหม่อยู่ก็ดูสีไม่งาม ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนี้ ว่า มีผ้าเปลือกปอ
เป็นคู่เปรียบ.*** อนึ่ง ชนเหล่าใด คบหา สมาคม เข้าใกล้ ทำตามเยี่ยงอย่าง
ของภิกษุนั้น ข้อนั้น จะเป็นทางให้เกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ เป็นทุกข์
แก่ชนเหล่านั้นเอง ตลอดกาลนาน***; เราจึงกล่าวภิกษุนั้นว่า ใครใกล้ชิดเข้า
ก็เจ็บเนื้อ เหมือนผ้าเปลือกปอ นุ่งห่มเข้าก็เจ็บเนื้อ ฉะนั้น. เรากล่าว
ภิกษุนี้ ว่ามีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ภิกษุนั้น รับจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริกขาร ของชนเหล่าใด ทานนั้นย่อมไม่มี
ผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่แก่ชนเหล่านั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า มีค่าน้อย
เหมือนผ้าเปลือกปอ มีราคาถูก ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า มีผ้าเปลือกปอ
เป็นคู่เปรียบ
ภิกษุ ท.! แม้ภิกษุ ผู้อายุปูนกลาง เมื่อเป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่
เลวทราม ก็เป็นอย่างเดียวกัน, เรากล่าวว่า มีผิวพรรณไม่งาม เหมือนผ้า
เปลือกปอ ที่แม้ยังใหม่อยู่ก็ดูสีไม่งาม ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนี้ว่า มีผ้า
เปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ชนเหล่าใด คบหา สมาคม เข้าใกล้
ทำตามเยี่ยงอย่างของภิกษุนั้น ข้อนั้น จะเป็นทางให้เกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์
เป็นทุกข์แก่ชนเหล่านั้นเอง ตลอดกาลนาน; เราจึงกล่าวภิกษุนั้นว่า ใคร
ใกล้ชิดเข้าก็เจ็บเนื้อ เหมือนผ้าเปลือกปอ นุ่งห่มเข้าก็เจ็บเนื้อ ฉะนั้น.
เรากล่าวภิกษุนี้ ว่ามีผ้าเปลือกปอเป็นคู้เปรียบ. อนึ่ง ภิกษุนั้น รับจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริกขาร ของชนเหล่าใด ทานนั้น
ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่แก่ชนเหล่านั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีค่าน้อย เหมือนผ้าเปลือกปอ มีราคาถูก ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ.
ภิกษุ ท.! แม้ภิกษุ ผู้เป็นเถระ เมื่อเป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่
เลวทราม ก็เป็นอย่างเดียวกัน, เรากล่าวว่า มีผิวพรรณไม่งาม เหมือนผ้า
เปลือกปอ ที่แม้ยังใหม่อยู่ก็ดูสีไม่งาม ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า มีผ้า
เปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ชนเหล่าใด คบหา สมาคม เข้าใกล้ทำตาม
เยี่ยงอย่างของภิกษุนั้น ข้อนั้น จะเป็นทางให้เกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์
เป็นทุกข์แก่ชนเหล่านั้นเอง ตลอดกาลนาน; เราจึงกล่าวภิกษุนั้นว่า ใคร
ใกล้ชิดเข้าก็เจ็บเนื้อ เหมือนผ้าเปลือกปอ นุ่งห่มเข้าก็เจ็บเนื้อ ฉะนั้น.
เรากล่าวภิกษุนี้ว่า มีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ. อนึ่ง ภิกษุนั้น รับจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริกขาร ของชนเหล่าใด ทานนั้น
ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่แก่ชนเหล่านั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีค่าน้อย เหมือนผ้าเปลือกปอ มีราคาถูก ฉะนั้น. เรากล่าวภิกษุนั้นว่า
มีผ้าเปลือกปอเป็นคู่เปรียบ.
อนึ่ง ภิกษุเถระชนิดนี้ กล่าวอะไรขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย
ก็จะว่าให้ว่า “ประโยชน์อะไร”ด้วยคำพูดของท่าน ซึ่งเป็นคนพาล คนเขลา,
คนอย่างท่านหรือจะรู้จักสิ่งที่ควรพูด” ดังนี้. ภิกษุเถระนั้น ถูกเขาว่าให้
ก็โกรธ แค้นใจ กล่าววาจาหยาบออกมา โดยอาการที่ทำให้ตนต้องถูกสงฆ์
ลงอุกเขปนียกรรมในภายหลัง จึงเป็นเหมือนผ้าเปลือกปอเก่าคร่ำ ที่เขาทิ้งเสีย
ตามกองขยะมูลฝอย ฉะนั้น แล.
/////////////////////////////////////////////////////////////
ปัจจุบันมีพระละเมิดพระธรรมวินัยเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้แก้ไข แถมยังทำผิดอยู่เป็นประจำ มีข้ออ้างต่างๆนาๆ ตามยุคตามสมัยบ้าง
ความเดือดร้อนวุ่นวาย ส่วนหนึ่ง เกิดจากนี่หรือเปล่า?
ใครมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ว่ามา.....